วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จาตุรนต์: 'มี 2 สัญชาติเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้


จาตุรนต์ ฉายแสง
27
กุมภาพันธ์2554 ในระยะหลังนี้
คุณอภิสิทธิ์ถูกพันธมิตรโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย
ขณะเดียวกันก็เดินแนวทางที่ผิดพลาดในกรณีความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีแต่จะนำไปสู่ควา​มล้มเหลวเสียหายมากยิ่งขึ้นทุกที
ส่วนปัญหาน้ำมันปาล์มที่ทำให้คนเดือดร้อนกันไปทั่วประเทศและใครที่ติดตามเรื่องพอสมค​วรก็คงจะรู้ว่าผลประโยชน์มหาศาลตกอยู่กับคนของพรรคประชาธิปัตย์เสียเป็นส่วนใหญ่นั้น​
เรื่องเหล่านี้รวมทั้งกรณีทุจริตหรือความล้มเหลวในการบริหารของคุณอภิสิทธิ์อีกจำนวน​มาก
และน่าจะพอคาดการณ์ได้ว่าถ้าฝ่ายค้านเตรียมการได้ดีพอสมควรคุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลนี้​คงอยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มทีแน่ๆ
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ของคุณอภิสิทธิ์และว่าไปแล้วก็ต้องถือว่าเป็​นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยเราเสียมากกว่าที่ควรจะนำมาพูดกันให้เกิดความชัดเจนไปเสียโด​ยไม่ต้องรอจนถึงวันที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้ใจก็คือ2
เรื่องนี้เริ่มมาจากมีคนนำเรื่องกรณีการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา
เมื่อมีการไปถามคุณอภิสิทธิ์ในตอนแรกๆ
ต่อมามีการยกประเด็นขึ้นว่าเนื่องจากคุณอภิสิทธิ์เกิดในประเทศอังกฤษ2
คุณอภิสิทธิ์บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบเรื่องนี้ให้กระจ่างอยู่นาน"อยากถามท่านว่าเป็นคนแจ้งเกิดตัวเองหรือไม่" แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่าไม่เคยทำเรื่องสละสัญชาติอังกฤษด้วยเหตุเพราะตนเข้าใจว่าถ้าเ​ป็นกฎหมายที่ขัดกันก็ให้ถือกฎหมายไทยเป็นหลักและตนได้แสดงเจตนามาตลอดว่าใช้สัญชาติไ​ทย
คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะให้สละสัญชาติอังกฤษ
ฟังคุณอภิสิทธิ์อธิบายมาถึงตรงนี้
ผมไม่ได้ต้องการวิเคราะห์เรื่องคุณอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเท​ศหรือไม่และก็ไม่ได้สนใจว่าคุณอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่2
เข้าใจว่ามีประชาชนไทยจำนวนหนึ่งที่มี2
แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกรัฐมนตรี2
ประเด็นอยู่ที่ว่าคนจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่​วไป
การที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะสละสัญชาติอังกฤษก็ได้แต่ไม่สละนั้นมีความหมายว่า
เมื่อถึงตอนนั้นข้อตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับคุณอภิสิทธิ์ผู้ถือสั​ญชาติอังกฤษหรือไม่
กลายเป็นว่าคุณอภิสิทธิ์จะต้องไปขึ้นศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ก็น่าสนใจ
คุณอภิสิทธิ์อาจจะได้รับการคุ้มครองมากกว่าที่ยกมานี้อีกก็ได้
ประเด็นสำคัญก็คือ
ผมอธิบายมาถึงตรงนี้
กรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน
แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่าการที่นายกรัฐมนตรีของไทยมีสองสัญชาตินั​้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นแน่ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจนและยังไม่ได้ประชุมหารือกันก็ด่วนออกมาชี้แ​จงเสียแล้วว่าการที่คุณอภิสิทธ์มีสองสัญชาติไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติคร​บถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
เรื่องการมีสองสัญชาตินี้
แต่ในขั้นนี้ผมคิดว่ายังไม่น่าใส่ใจกับการไปร้องกับกกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญให้มากนักเพราะอาจต้องใช้เวลาและไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก
คงต้องใช้หลักว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ
ขอย้ำครับว่า2 สัญชาติ
จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น ไม่ควรเป็นนายกฯมาตั้งแต่ต้นและไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ผมไม่ได้กำลังบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 



คลิป  MP3 สปริงนิวส์ สัมภาษณ์ คุณณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ  02-03-2011

โดย

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาหร่ายเกลียวทอง กับ การเสริมสร้างภูมิต้านทาน

 Boonsom farm บุญสมฟาร์มตั้งอยู่ ท่ามกลางขุนเขา 

Boonsom farm บุญสมฟาร์มตั้งอยู่ ท่ามกลางขุนเขา ของจังหวัดเชียงใหม่ มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีที่ 30 องศาเซลเซียส ในขณะที่ ระดับอุณหภูมิเหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย อยู่ที่ 25-35 องศาเซลเซียส และยังเป็นพื้นที่ที่ปราศจากมลภาวะ อากาศบริสุทธิ์ น้ำที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตและบ่อเพาะเลี้ยง มาจากแหล่งน้ำที่ได้รับการตรวจสอบ และยอมรับจากการประปานครหลวงว่าเป็นน้ำสะอาดคุณภาพระดับน้ำดื่ม

กระบวนการผลิตได้มาตรฐานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การเก็บเกี่ยวทำโดยการกรองน้ำออก ทำให้แห้งด้วยการอบที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสบดเป็นผง อัดเม็ดหรือบรรจุแคปซูลภายในห้องปลอดเชื้อ วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารและตรวจหาโลหะหนักอย่างสม่ำเสมอภายใต้การรับรองของสำนักงานคณะกรรมการ
อาหารและยา

บริษัทกรีนไดมอนด์ จำกัด
บุญสมฟาร์ม (Factory)  86-87 ม.6 ต.ทุ่งปี้ อ.แม่วาง เชียงใหม่
Tel: 053-363601-3 Fax: 053-363756


สาขาเชียงใหม่
ร้านบุญสมฟาร์มโฮมเมด นิ่มซิตี้เดลี่ ตรงข้าม ม. ฟาร์อิสเทิร์น
Tel: 053-275011, 053-273116




http://www.boonsomfarm.com



"สร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยอาหารไม่ใช่ด้วยยา"

ปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด เอ (เอช1เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และในขณะนี้ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตแล้ว จากการติดเชื้อ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ ชนิดเอ หรือที่เราเรียกว่า ไข้หวัด 2009  จะมีอาการให้คล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายเองได้ ไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน หรือ ผู้ที่มีภูมิต้านทางต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และ หญิงมีครรภ์

ดังที่ปรากฏในข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า พบผู้ป่วยไข้หวัด 2009 ที่ไม่ได้สัมผัสเชื้อโรคโดยตรง แต่ไปสัมผัสกับคนที่เป็นพาหะ แสดงว่าหาก เราสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์แล้ว หากเราสัมผัสกับเชื้อโรค เราก็จะไม่ติดเชื้อ หรือถึงแม้จะติดเชื้อ ก็จะมีอาการไม่มาก สามารถหายได้เองไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ดังนั้นหัวใจสำคัญของ การป้องกันไข้หวัด 2009 นอกจากจะรักษาความสะอาด ไม่ไปคลุกคลีกับผู้ป่วย ล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีคุณค่า ทางโภชนาการ ดื่มน้ำมาก ๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ

จากหนังสือสาหร่ายอาหารของอนาคต เขียนโดย ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน  การสร้างภูมิต้านทาน และหยุดยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อโรค โดยบริโภคสาหร่ายเกลียวทอง นับว่าเป็นคุณอนันต์ ในวงการแพทย์ในปัจจุบัน ยาปฏิชีวนะที่ใช้ทั้งคน และสัตว์ เชื้อโรคสามารถดื้อยา ได้เกือบทุกชนิด จนใช้ยาดังกล่าวไม่ได้ผล และเชื้อโรคที่ต้านยา หลายชนิดเริ่มระบาด จนเป็นปัญหาสาธารณสุข เนื่องจากยาปฏิชีวนะ มักจะเป็นสารเคมีตัวเดียว และชนิดเดียว เชื้อโรคเรียนรู้ได้ง่ายจึงต่อต้าน จนดื้อยาได้ แต่ภูมิต้านทานจากมนุษย์ ซับซ้อนมากเชื้อโรค ไม่สามารถเรียนรู้ จึงไม่สามารถต่อสู้กับภูมิต้านทานได้

สาหร่ายเกลียวทองสร้างภูมิต้านทานและหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้อย่างไร
สาหร่ายเกลียวทองมีเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า 2,000 ชนิด เอนไซม์ที่สำคัญ ๆ จะเข้าไปตัดวงจรไม่ให้เกิดโรคและเอนไซม์บางชนิดมีหน้าที่ซ่อมแซมทำให้เซลล์ที่ถูกทำลาย กลับมาอยู่ในสภาพเดิมและในสาหร่ายเกลียวทองยังมีน้ำตาลเชิงซ้อนไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ขนาดใหญ่สร้างสารเคมีไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทุกชนิดไปทำลาย     จุลินทรีย์และไวรัสได้อย่างเต็มที่และยังไปกระตุ้นเซลล์ตั้งต้นของกระดูกไขสันหลังให้ผลิตเม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงได้มากขึ้น จึงเป็นปราการคุ้มกันและหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ด้วย


เอกสารอ้างอิง
“สาหร่าย อาหารของอนาคต”.ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน.พิมพ์ครั้งที่ 2พฤษภาคม,2551.
“วีธีป้องกันและควบคุมไข้หวัด 2009”.thaihealth.or.th. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาหร่ายเกลียวทองกับสุขภาพ โภชนาการบำบัด


สาหร่ายเกลียวทอง คือ โปรตีน ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดในสัดส่วนที่เหมาะสมในสาหร่ายเกลียวทองนั้นมีคุณค่าทางอาหารเหนือกว่าอาหารชนิดอื่น คือมีปริมาณโปรตีนถึงกว่า 65% ของน้ำหนักแห้ง ซึ่ง สูงกว่าปริมาณโปรตีนที่มีในเนื้อสัตว์หรือในไข่ถึง 3/2 เท่า ถือว่า สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารพิเศษที่ประกอบด้วยเนื้อโปรตีนแท้ๆ นอกจากนี้ยังประกอบด้วย คลอโรฟิลล์ และ ไฟโคไซยานิน จำนวนมาก มีโปรวิตามิน ซึ่งเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งเป็น คุณสมบัติเฉพาะของสาหร่ายเกลียวทอง จะเห็นว่าสาหร่ายเกลียวทอง มีสีเขียวแกมน้ำเงิน และรวมไปถึงทั้งกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการ เราลองมาดูตารางเปรียบเทียบ สาหร่ายเกลียวทอง (แห้ง) เปรียบเทียบปริมาณ โปรตีน กันค่ะ

ปริมาณโปรตีน
สาหร่ายเกลียวทอง 60-71 %
เนื้อวัว 18-20 %
ไข่ 10-25 %
ข้าวสาลี 6-10 %
ข้าวเจ้า 7 %
ถั่วเหลือง 33-35 %
ปลาทู ปลาอินทรี 20 %


นอกจากนั้น สาหร่ายเกลียวทอง ยังประกอบไปด้วย กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งในสาหร่ายเกลียวทอง มี กรดอะมิโน ทั้ง 18 ชนิด ที่ร่างกายต้องการดังนี้คือ

ไอโซลิวซีน จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และพัฒนาการเรียนรู้ (IQ)
ลิวซีน กระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มกำลังให้กล้ามเนื้อ ช่วยให้เซลล์ประสาทแข็งแรงขึ้น
ไลซีน ทำให้ระบบเส้นเลือดแดงแข็งแรง ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์
เมไทโอนีน บำรุงรักษาตับ ต้านความเครียด ทำให้ประสาทผ่อนคลาย
เฟนนิลอะลานีน ใช้สร้างไทรอกซิน กระตุ้นกอัตราการย่อย และสลายอาหารเพื่อเป็นพลังงาน
ทรีโอนีน ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นเพิ่มการดูดซึม
แวลี ช่วยกระตุ้นความจำ
อะลานีน ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง
แอสพาร์ติก ช่วยเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล
อาร์จินีน เป็นส่วนประกอบของน้ำเชื้อเพศชาย และช่วยในการกำจัดสารพิษ
ทริพโตเฟน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินบี จิตใจเยือกเย็นสงบ
กลูตามิก นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์สมอง ช่วยลดพิษอัลกอฮอล์ และช่วยทำให้มีสติ
อีสติตีน ช่วยให้การส่งผ่านความรู้สึกของระบบประสาทดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องหู
ซีลีน ช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มรอบเส้นประสาท เพื่อป้องกันอันตรายในเส้นประสาท
ซีสทีน บำรุงตับอ่อน ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
โปรตีน เป็นสารต้นตอของกลูตามิกแอซิด
กลัยซีน เพิ่มพลังงานและการใช้ออกซิเจนของเซลล์
ไทโรซีน ชะลอความแก่ของเซลล์

ในประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่เคยมีการศึกษาทดลองใช้สาหร่ายเกลียวทอง และศึกษาผลของสาหร่ายเกลียวทองที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นที่ยอมรับมาเป็นเวลานานแล้วว่าสาหร่ายเกลียวทองมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่งก็ตามในทางกลับกัน แพทย์ชาวญี่ปุ่นและเม็กซิกันกลับให้ความสนใจ อย่างลึกซึ้งในการนำสาหร่ายเกลียวทองไปใช้เสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่มนุษย์

การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าสาหร่ายเกลียวทองเป็นสิ่งที่ใช้เสริมการรักษาของแพทย์ และให้ผลดีโดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ที่มีภาวะทุพโภชนาการเรื้อรังเป็นสาเหตุของโรค อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างบางกรณีที่แสดงถึงความสามารถของสาหร่ายเกลียวทองในการทำให้เกิดการรักษาตนเอง ที่ทำให้เราทราบว่ามีเรื่องที่มนุษย์ยังไม่ล่วงรู้อีกมากมายเกี่ยวกับคุณสมบัติต่างๆ ของสาหร่าย

ยณะนี้องค์การอาหารและยาได้จัดสาหร่ายเกลียวทองเป็นเพียงผักชนิดหนึ่งเป็นอาหารเหมือนเช่นอาหารที่รับประทานทั่วไป ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะแอบอ้างสรรพคุณในการรักษาโรค แต่อาหารที่ดีก็เปรียบเสมือนยาวิเศษ สำหรับผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ควบคู่ไปกับการใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งสาหร่ายเกลียวทองจะช่วยเสริมและขยายอำนาจ การรักษาของยานอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วเพื่อเป็นปราการในการป้องกันโรค หรือผู้ที่มีสภาพต่างๆ ดังนี้ เช่น

- เหนื่อยง่าย
- เป็นหวัดง่าย
- วิงเวียนศรีษะอยู่เสมอ
- รู้สึกเจ็บถึงกระดูกเมื่อกดเนื้อเบาๆ
- หญิงมีครรภ์ กินผัก
- กินผักสีเขียวหรือผักสีเหลืองไม่เพียงพอ
- ไม่รับประทานอาหารเช้า
- กำลังอดอาหารเพื่อลดความอ้วน
- ชอบหรือไม่ชอบอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างรุนแรง
จนก่อให้เกิดอาการขาดสารอาหาร
- มีอาารท้องผูกเป็นประจำ

อาการผิดปกติในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคนั้นมีหลายอย่างและกว่า 90% ของอาการผิดปกตินั้นเกิดจากการรับประทานอาหารที่บกพร่องไม่เพียงพอหรือไม่ถูกส่วน


ข้อมูล จาก หนังสือ " ความลับของสาหร่ายเกลียวทอง ผลการรักษาโรคที่นายแพทยชาวญี่ปุ่นค้นพบ" แปลจาก " The secrets of Spirulina Discoveries of Japanese Doctors " งานแปลของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ อันดับที่ 105 แปลโดย คุณเจียมจิตต์ บุญสม

สุขภาพดีได้ด้วยต้นทุนต่ำ

รับคำปรึกษาฟรีเรื่องประโยชน์ของสาหร่ายเกลียวทอง
ต่อสุขภาพ ได้ฟรี ที่ 02-9665556

สาหร่ายเกลียวทอง สไปรูไลน่า ชนิดแคปซูล และขนิดอัดเม็ด

บริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคุณภาพ ผลิตจากสาหร่ายเกลียวทอง จีดี-1 (Spirulina GD-1) จำหน่ายในรูปของชนิดผงอัดเม็ด และชนิดแคปซูลบรรจุอยู่ในขวดที่สะอาด ได้มาตรฐาน และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตามหมายเลขอนุญาต ที่ ผ.39/2535 ในขนาดบรรจุต่างๆ กัน เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค

สาหร่ายเกลียวทอง จีดี-1ผลิตภัณฑ์คุณภาพและได้มาตรฐาน จนได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่น ในปี พ.ศ. 2538 จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทยและยังได้รับ การพิสูจน์และยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก

คุณจึงมั่นใจในคุณภาพของจีดี-1 ได้ ด้วยคุณค่าทางสารอาหารและโภชนาการที่ท่านจะได้รับจากการรับประทานสาหร่ายเกลียวทอง ที่แม้แต่องค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยอมรับว่าเป็น อาหารที่ดีที่สุดสำหรับอนาคต (The Best Food for Tomorrow)

งานวิจัย องค์ประกอบของสาหร่ายเกลียวทอง

งานวิจัย จุลโภชนาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน
-ทองสีเขียวแห่งโลกอนาคต
-ผู้แต่ง
-ประวัติและที่มา
-สาหร่ายเกลียวทองคืออะไร
-องค์ประกอบ
-คุณค่าทางโภชนาการ
-เกี่ยวกับสุขภาพ
-วิธีการใช้
-เอกสารอ้างอิง
- บทสรุป



ทองสีเขียวแห่งโลกอนาคต
ทำไมสาหร่ายเกลียวทองจึงถูกเรียกว่า "ทองสีเขียวแห่งโลกอนาคต" ทั้งนี้ก็เพราะ แม้จะเป็นเพียงอาหารธรรมดาจากแหล่งน้ำของโลก แต่สาหร่ายเกลียวทองกลับมีโปรตีนที่สมบูรณ์มากกว่า
ในเนื้อเสต็ก มีองค์ประกอบของแร่ธาตุอย่างมากมาย มีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์หลากหลายชนิดทั้งยังอุดมไปด้วยเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่างๆ อย่างไรก็ดี สาหร่ายเกลียวทองยังเป็นยิ่งกว่าอาหาร
จากผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าสาหร่ายเกลียวทองมีคุณประโยชน์ต่อการควบคุมน้ำหนัก โรคภูมิแพ้ ปัญหาทางสายตา ความผิดปกติของคาร์โบไฮเดรท โรคโลหิตจาง และอาการของโรคอื่นๆ อีกมากมาย
หนังสือเล่มนี้บอกกล่าวเรื่องราวที่น่าทึ่งของสาหร่ายเกลียวทองและประโยชน์ด้านโภชนาการและสุขภาพที่สาหร่ายเกลียวทองสามารถสร้างให้แก่ท่าน
เกี่ยวกับผู้แต่ง
แจ็ค โจเซฟ ชาลเล็ม เป็นหนึ่งในนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการที่มีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอในปัจจุบัน ข้อเขียนของเขาและบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Orhomolecular
nutrition เช่น ดร.ไลนัส พอลิ่ง, วิลเฟิร์ด อี ชูท และ อับราม ฮอฟเฟอร์ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆปรากฏอย่างสม่ำเสมอในวารสาร Let's Live, Bestways, The Health Quarterly และสิ่ง
ตีพิมพ์ทั่วไปด้านวิชาการและผู้บริโภค เขาและภรรยาผู้ซึ่งเป็นนักเขียนในสาขาสุขภาพและโภชนาการเช่นเดียวกัน ต่างเป็นนักเขียนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของหนังสือชื่อ What Herbs Are All About

ประวัติความเป็นมา
อาหารขั้นพื้นฐานที่สุด
เมื่อชีวิตแรกอุบัติขึ้นบนพื้นผิวของโลกนั้น น่าจะเป็นเพียงแค่เซลล์เดียวธรรมดา ล่องลอยอยู่ในสารชีวเคมีเข้มข้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นน้ำของดาวเคราะห์ดวงนี้ สิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่บนบกและมี
หลายเซลล์ซับซ้อนนั้น เคยเป็นพวกแรกๆ ที่ได้ผ่านช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการมาสู่อนาคตในระยะเริ่มต้นของยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่ล่องลอยอยู่ในน้ำอย่างสงบสุขและอบอุ่นภายใต้แสงอาทิตย์
เริ่มกลายเป็นเสมือนโรงงานจุลเคมีที่ผลิตโปรตีน, คาร์โบไฮเดรท, กรดอะมิโน, วิตามิน, เอนไซม์, และสารเคมีชีวภาพอื่นๆ ที่เราได้ทราบกันต่อมาว่ามีอยู่ในห้วงจักรวาล
จากการเปลี่ยนแปลงอันน่ามหัศจรรย์โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน รูปแบบของชีวิตได้พัฒนาผ่านช่วงเวลานับพันๆ ปี สิ่งที่สืบทอดมาจากเซลล์ที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ ยังคงดำรงระบบการแปรรูป
พลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นอาหารอันบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง โรงงานผลิตอาหารขนาดเล็กจิ๋วแต่ทรหดเหล่านี้ก็คือสาหร่าย (Algae)
สาหร่ายเซลล์เดียวที่ถูกจำแนกพวกให้เป็น Monera ตามความหมายทางชีววิทยา คือโรงงานผลิตอาหารแห่งแรกของโลก ซึ่งต้องอาศัยพลังงานของดวงอาทิตย์ในการสร้างสรรค์สาร
อาหารบำรุงเลี้ยงชีวิตโดยผ่าน กระบวนการสังเคราะห์แสง ความเรียบง่ายของสาหร่ายช่วยลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นและการสูญเสียพลังงานลง ทำให้เซลล์สามารถมุ่งเน้นเฉพาะกิจกรรมการผลิตอาหาร
แต่เพียงอย่างเดียวสำหรับคนที่สนใจในความบริสุทธิ์ของอาหาร คำกล่าวที่ว่าให้รับประทาน "สิ่งที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร" เป็นความจริงที่ไม่ต้องท้าพิสูจน์มาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากอาหารที่เรียบง่าย
แสดงว่าเป็นอาหารที่มีความเข้มข้นของการปนเปื้อนน้อยกว่า สาหร่ายมิใช่จะอยู่ในส่วนล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานและเป็นจุดแรกเริ่มที่สร้างอาหารขึ้นด้วย
สาหร่ายเกลียวทองคืออะไร
สาหร่ายเกลียวทอง คือ สาหร่ายหลายเซลล์ธรรมดาชนิดหนึ่งซึ่งเจริญเติบโตในน้ำอุ่นที่มีความเป็นด่างสูง ชื่อของ "สาหร่ายเกลียวทอง" หรือ "Spirulina" ได้มาจากคำ "helix" หรือ "spiral" ในภาษาละตินซึ่งแสดงถึงลักษณะทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างบิดวนเป็นเกลียว
สาหร่ายเกลียวทองถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น "อาหารแห่งอนาคต" เพราะความสามารถที่น่าทึ่ง ในการสังเคราะห์อาหารเข้มข้นคุณภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสาหร่ายชนิดอื่นๆ ที่เด่น
ที่สุดคือ 65-71% ของสาหร่ายเกลียวทองเป็นโปรตีนสมบูรณ์ที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นในปริมาณที่สมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อวัวที่มีโปรตีนเพียง 22% เท่านั้น
สาหร่ายเกลียวทองมีอัตราการสังเคราะห์แสงสูงถึง 8-10% เมื่อเทียบกับพืชที่เจริญเติบโตบนบกอย่างถั่วเหลืองที่มีอัตราการสังเคราะห์แสงเพียงแค่ 3%
นอกจากนี้ สาหร่ายเกลียวทองยังเป็นหนึ่งในพืชไม่กี่ชนิดที่เป็นแหล่งของวิตามินบี 12 ซึ่งวิตามินชนิดนี้มักพบในเนื้อเยื่อของสัตว์เท่านั้น สาหร่ายเกลียวทอง 1 ช้อนชา ให้วิตามินบี 12
มากเป็น 2 เท่าครึ่งของที่กำหนดไว้ในปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน (RDA) และยังมีจำนวนมากกว่า 2 เท่าของวิตามินบี 12 ที่พบในตับในปริมาณที่เท่ากัน
สาหร่ายเกลียวทองยังให้คุณค่าทางโภชนาการด้านอื่นๆ ด้วยความเข้มข้นสูง เช่นกรดอะมิโน, แร่ธาตุชนิดต่างๆ, สารให้สี, น้ำตาลแรมโนส (น้ำตาลที่ได้จากพืชที่มีโครงสร้างซับซ้อน),
ธาตุเฉพาะอย่างที่พบน้อยมากในพืชและสัตว์, และเอนไซม์ ทุกสิ่งล้วนอยู่ในรูปแบบที่สามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย
ถึงแม้ว่าสาหร่ายเกลียวทองจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แต่ก็จัดว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ คือมีความยาวถึง 0.5 มิลลิเมตร ใหญ่กว่าสาหร่ายชนิดอื่นๆ นับ 100 เท่า ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นเซลล์
บางเส้นที่เรียงต่อกันของสาหร่ายเกลียวทองได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการแพร่พันธุ์ได้อย่างมากมายของเซลล์และนิสัยที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทำให้สาหร่ายเกลียวทองกลายเป็นกลุ่ม
มวลพืชที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
สาหร่ายมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามความเข้มของสี และถูกจำแนกออกเป็นสีเขียวแกมน้ำเงิน, สีเขียว, สีแดง, และสีน้ำตาล สาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินชนิดหนึ่ง ตามสี
ที่ปรากฏในโครงสร้างของเซลล์ ทั้งสีเขียวของคลอโรฟิลล์ และสีน้ำเงินของไฟโคไซยานิน ถึงแม้ว่าสาหร่ายเกลียวทองจะมีความเกี่ยวพันกันห่างๆ กับสาหร่ายเคล์พ แต่สาหร่าย
เกลียวทองไม่ใช่พืชทะเล อย่างไรก็ดี บึงน้ำจืดและทะเลสาปที่สาหร่ายเกลียวทองชอบก็มีความเค็มสูงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยค่า pH ระหว่าง 8-11 มากกว่าในทะเลสาปธรรมดา และทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
รูปแบบอื่นๆ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สาหร่ายเกลียวทองยังเจริญเติบโตได้ดีในน้ำอุ่นจัดระหว่าง 32-45 องศาเซลเซียส (ประมาณ 85-112 องศาฟาเรนไฮท์) และยังสามารถทนอยู่ได้ใน
อุณหภูมิที่สูงถึง 60 องศาเซลเซียส (140 องศาฟาเรนไฮท์) อีกด้วย
สาหร่ายเกลียวทองสายพันธุ์หนึ่งที่ปรับตัวอยู่ในทะเลทราย จะยังคงดำรงชีพอยู่ได้เมื่อหนองน้ำที่เป็นถิ่นที่อยู่ของมันเหือดแห้งไปภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง มันจะค่อยๆ แห้งลงเข้าสู่
ระยะพักตัวจนติดอยู่กับก้อนหินที่ความร้อนสูงถึง 70 องศาเซลเซียส (160 องศาฟาเรนไฮท์) ในระยะพักตัวนี้เองสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีขาวใสและมีรสหวานมากขึ้นตามลำดับ
อันเนื่องมาจากโครงสร้างโปรตีน 71% นั้น แปรรูปไปเป็นน้ำตาลโพลีแซกคาไรด์ด้วยความร้อน
นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่า "แมนนา" อาหารศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าของชาวอิสราเอลผู้เร่ร่อนซึ่งปรากฎขึ้นอย่างปาฏิหาริย์บนก้อนหินภายหลังจากการทำลายล้างคำสาปแช่ง และได้รับการบรรยายว่ามีรส"เหมือนขนมปังกรอบชนิดบาง ที่ทำจากน้ำผึ้ง" อาจเป็นรูปแบบหนึ่ง
ของสาหร่ายเกลียวทองระยะพักตัวก็ได้
การที่สาหร่ายเกลียวทองสามารถเจริญงอกงามในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและมีความเป็นด่างสูงนี้ ทำให้มั่นใจได้ในด้านสุขอนามัย เนื่องจากไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดสามารถคงอยู่และปนเปื้อนในน้ำ
ที่สาหร่ายชนิดนี้เจริญเติบโตได้ สาหร่ายเกลียวทองไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีความสัมพันธ์ที่ตายตัวอย่าง "เชื้อจุลินทรีย์" และ "ซากสกปรกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ" เพราะสาหร่ายเกลียวทองนั้น
แท้ที่จริงแล้วเป็นอาหารที่สะอาดที่สุด ซึ่งได้รับการทำให้ปลอดเชื้ออย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดชนิดหนึ่งเท่าที่เคยพบในธรรมชาติ
การปรับตัวได้ดีต่อความร้อนของมัน จึงทำให้มั่นใจได้ว่าสาหร่ายเกลียวทองยังคงรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้เมื่อต้องผ่านความร้อนสูงระหว่างกระบวนการผลิตและการเก็บรักษา
ไม่เหมือนกับอาหารจากพืชหลายชนิดที่เสื่อมคุณค่าลงอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิสูง
สาหร่ายเกลียวทองยังคงไม่ธรรมดาแม้ในหมู่สาหร่ายด้วยกัน เนื่องจากมันเป็น "Nuclear plant" ซึ่งหมายถึงว่าเป็นสิ่งที่มีวิวัฒนาการสูงถึงจุดที่เชื่อมต่อระหว่างความเป็นพืชกับความเป็นสัตว์ มันถูกตัดสินว่ามีสถานะค่อนข้างสูงกว่าความเป็นพืชก็เพราะไม่มีผนังหุ้มเซลล์ที่แข็งแบบเซลลูโลสเหมือนผนังเซลล์ของพืช ทั้งยังไม่มีนิวเคลียสที่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามระบบการสันดาปของมันมี
พื้นฐานมาจากการสังเคราะห์ด้วยแสง อันเป็นกระบวนการในการผลิตพลังงานจากอาหารโดยใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์โดยตรงร่วมกับคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นรูปแบบวิถีชีวิตพื้นฐานของพืช
ตามความเป็นจริง สาหร่ายเกลียวทองเป็นทั้งพืชและสัตว์ในช่วงของการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ถูกแยกออกจากกัน ดังนั้นมันจึงประมวลเอารูปแบบ
ที่สามัญที่สุดของชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน ในทางกลับกันสาหร่ายชนิดอื่น เช่น คลอเรลลา ได้พัฒนาลักษณะของผนังเซลล์ที่แข็งและไม่สามารถย่อยได้ของพืชขึ้น
มีสาหร่ายเกลียวทองถึง 35 ชนิด แพร่พันธุ์อยู่ในทะเลสาปธรรมชาติที่มีความเป็นด่างสูงทั่วโลก เช่น ทะเลสาปชาด (ประเทศชาด), ทะเลสาปเทกซ์โคโค (ประเทศเม็กซิโก), ทะเลสาปรูดอล์ฟ,
ทะเลสาปนากูรา (ทั้งสองแห่งอยู่ในประเทศเคนยา) และมีอยู่ในแหล่งน้ำเล็กๆ หลายแห่งในพื้นที่ส่วนที่แห้งแล้งของโลก
เนื่องจากลักษณะที่บิดวนเป็นเกลียวของสาหร่าย ดูเหมือนเป็นลักษณะตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองจากสภาวะความเป็นกรด-ด่างและสารอาหาร จึงเป็นไปได้ว่าความแตกต่างของรูปร่างเป็นผลมาจาก
การผันแปรไปของสายพันธุ์
ประวัติของสาหร่ายเกลียวทอง
ความเป็นไปได้ที่ว่าแมนนาคือสาหร่ายอาจเป็นเพียงการคาดเดา แต่ก็ยังมีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์อีกหลายเรื่องที่แสดงว่าสาหร่ายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญได้ถูกบันทึกไว้
เมื่อผู้พิชิตชาวเสปนมีชัยชนะเหนืออาณาจักรแอซเทคของเม็กซิโก พวกเขาพบว่าชาวพื้นเมืองยังชีพด้วยข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำเต้า และฝ้าลึกลับสีเขียวที่ลอยอยู่เต็มทะเลสาปเท็กซ์โคโค
แห่งหุบเขาทีโอทิฮัวกัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเม็กซิโกซิตี้ในปัจจุบัน
ชาวแอซเทคเรียกสาหร่ายสีเขียวนี้ว่า "tecuitlatl" และถือเป็นสินค้าชนิดหนึ่งนอกเหนือจากการนำไปเป็นอาหารประจำวัน tecuitlatl นี้เป็นรูปแบบหนึ่งของสาหร่ายเกลียวทองที่ยังคงเจริญ
งอกงามอยู่ในทะเลสาปเท็กซ์โคโค
อารยธรรมของชาวแอซเทคมีความโดดเด่นในด้านความหรูหราฟุ้งเฟ้อ, การมีวัฒนธรรม, และการมีประชากรมากมายหลายเชื้อชาติ สิ่งที่สร้างความพิศวงให้แก่นักโบราณคดีเมื่อขุดค้นพบ
บันทึกทางวัฒนธรรมที่ถูกฝังไว้ก็คือ ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่ามีแหล่งให้โปรตีนคุณภาพสูงสำหรับดำรงความเจริญเช่นนั้นได้เลย สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ ก็ขาดแคลน ทั้งนี้ก็เพราะวัว แกะ ม้า และสัตว์
ชนิดอื่นๆ ที่เรานำมาใช้ในการเพาะปลูกยังเป็นสัตว์ป่าในยุคโลกเก่า ทั้งยังหาได้ยากในดินแดนแอซเทค
เนื่องจากการบูชายัญมนุษย์และการกินเนื้อมนุษย์ก็เป็นลักษณะหนึ่งของสังคมแอซเทคด้วยจึงทำให้นักมานุษยวิทยาบางท่านตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นว่านี่คือแหล่งโปรตีนหลักของชาวแอซเทค อย่างไรก็ดี
เนื้อมนุษย์นั้นขึ้นชื่อว่าขาดวิตามินบี และไม่ใช่แหล่งโภชนาการที่ดีนัก
การที่ชาวแอซเทคบริโภคสาหร่ายเกลียวทองซึ่งเป็นโปรตีนสมบูรณ์ที่ย่อยง่าย จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าเหตุใดประชาชนชาวแอซเทคจึงมีกำลังวังชาในการสร้างเมืองและวัด
Tenochtitlan ขนาดใหญ่มหึมา มีแรงทำสงครามกับพวกที่อยู่ในใจกลางของถิ่นเมโส-อเมริกันและมีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมทางศิลปะชั้นสูง, ความรู้ทางคณิตศาสตร์ และปรัชญาได้
เมื่อเข้ามาครอบครองแอซเทค ชาวสเปนไม่อาจจะเข้าใจความนิยมในการบริโภค tecuitlatlและชื่นชอบวิทยาการของ "chinampas" สวนลอยน้ำแห่งเทกซ์โคโคของชาวแอซเทคได้ ทั้งยัง
ไม่เคยรู้ว่าพืชน้ำสีเขียวไร้ค่าในทะเลสาปให้โปรตีนมากกว่าที่ผืนดินสามารถจะผลิตได้อีกด้วย พวกสเปนจึงเริ่มโครงการรุกล้ำหนองน้ำและถมดินเพื่อให้สามารถเพาะปลูกได้
ในปัจจุบัน ทะเลสาปส่วนใหญ่สูญหายไปหมดแล้ว แต่ก็น่าแปลกที่ฟาร์มเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตั้งอยู่บนพื้นที่ชายฝั่งส่วนที่เหลืออยู่ของทะเลสาปเทกซ์โคโค
ชาวแอซเทคมิใช่ชนเผ่าเดียวที่ยังชีพด้วยการใช้สาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารและโปรตีนหากยังเป็นวัฒนธรรมของชนเผ่ามายันแห่งยูคาตัน เพนนินซูลา ในอเมริกากลางอีกด้วย ชนเผ่ามายันยัง
ชีพอยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในสภาพแวดล้อมของป่าดงดิบที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกขนาดใหญ่ ผิวดินของป่าดงดิบสูญเสียความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็กลายเป็นดินสีแดงแห้งผาก
จนเหมือนซีเมนต์ภายหลังจากถูกหักร้างถางพงและขาดต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ซึ่งแสดงว่าผืนดินสามารถให้ผลผลิตทางเกษตรได้เพียงแค่ปีหรือสองปีก่อนที่จะต้องปล่อยให้กลับสู่สภาพป่าดิบชื้นต่อไป
ตามเดิม
การเพาะปลูกแบบเลื่อนลอยอย่างนี้ ซึ่งดูไม่มีประสิทธิผลเลยสำหรับพวกเรา กลับเป็นสิ่งที่ชนเผ่ามายันผู้ไม่มีทางเลือกและต้องปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเป็นไปตามธรรมชาติต้องทำ ในปัจจุบัน
เชื่อกันว่าการขุดสร้างหนองน้ำกระจายอยู่ทั่วไปตามส่วนที่โล่งของผืนป่าอาจกระทำเพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง เพราะได้มีการค้นพบระบบคลองส่งน้ำที่ซับซ้อนซึ่งอาจสร้างขึ้นเพื่อให้หนองน้ำ
มีน้ำเต็มตลอดเวลา เนื่องจากมีฝนตกในป่าเพียง 70 ถึง 90 นิ้วต่อปี นักโบราณคดีจึงตั้งทฤษฎีว่าคลองส่งน้ำถูกสร้างขึ้นเพื่อบำรุงเลี้ยงสาหร่ายในบ่อมากกว่าเพื่อให้การชลประทานแปลงเกษตร
การพัฒนาฟาร์มเพาะเลี้ยงสาหร่ายน่าจะเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าประชากรสองล้านคนของชนเผ่ามายันดำรงรักษาความรุ่งเรืองแห่งยุคคลาสสิก (ค.ศ. 900) ไว้ได้อย่างไร แม้อยู่ในสภาวะที่
การเกษตรไม่เอื้ออำนวย
การย้อนกลับมาค้นพบของยุคใหม่
ในปี 1964 นักพฤษศาสตร์ชาวเบลเยี่ยมชื่อ ฌอง เลียวนาร์ด (Jean Leonard) ได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะสำรวจทะเลทรายสะฮารา เมื่อคณะสำรวจเดินทางถึงทะเลสาปชาด เลียวนาร์ด
ได้สังเกตเห็นชาวพื้นเมืองเผ่า Kanembu กำลังตักเอาฝ้าสีเขียวในทะเลสาปขึ้นมาด้วยตะกร้าฟางจากนั้นก็ตากแห้งจนเป็นก้อน ก้อนเหล่านี้เรียกว่า "dihe" เป็นอาหารที่นิยมบริโภคและเป็นสินค้าที่
ซื้อขายกันในตลาดท้องถิ่น
ในทศวรรษ 1960 ความวิตกกังวลว่าแหล่งอาหารของโลกมีจำนวนลดน้อยลงกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ ฌอง เลียวนาร์ดได้ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับสาหร่ายเกลียวทองว่าเป็นอาหาร และรายงานชิ้นนี้
ได้สะดุดความสนใจของวิศวกรชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก ในปี 1967 นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ ฮิโรชินากามูระ (Hiroshi Nakamura) ได้อ่านบทความเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับโครงการสาหร่ายเกลียวทอง
หลายๆ โครงการ ที่กำลังดำเนินการอยู่โดยศูนย์ปิโตรเลียมแห่งชาติฝรั่งเศส และเกิดความทึ่งว่าน่าจะเป็นไปได้
นากามูระมีความสนใจศักยภาพของสาหร่ายในด้านการเป็นแหล่งโปรตีนของโลกมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยทราบเลยว่าสาหร่ายเกลียวทองเหนือกว่าสาหร่ายสายพันธุ์อื่นๆ ถึงเพียงนี้
ภายหลังจากที่ได้รับทราบข้อมูลนากามูระและเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น จึงกลายเป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายเกลียวทองและพัฒนามาสู่การค้าในที่สุด
ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่น สาหร่ายเกลียวทองได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่ดีเยี่ยมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามและสัตว์พื้นเมืองชนิดอื่นๆ และยังถูกใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อบำบัดรักษาอาการของ
โรคบางชนิดของมนุษย์อีกด้วย จากการที่ชาวญี่ปุ่นใส่ใจมาเป็นเวลานานแล้วเกี่ยวกับการผลิตอาหารให้ได้ปริมาณมากที่สุด โดยใช้พื้นที่และทรัพยากรอย่างจำกัด ทำให้ชาวญี่ปุ่นกลายเป็นผู้นำในการผลิต
และการบริโภคสาหร่ายเกลียวทอง
ช่างน่าขันที่การสร้างฟาร์มเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองที่ทะเลสาปเท็กซ์โคโคอีกครั้งหนึ่งนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยในปี 1943 บริษัทโสสะเท็กซ์โคโค (Sosa Texcoco
Company) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสกัดปูนขาวจากน้ำเกลือในทะเลสาป บริษัทไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าอ่างพักน้ำที่สร้างขึ้นเพื่อการนี้เป็นแบบที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเจริญเติบโตของสาหร่ายเกลียวทอง
พันธุ์พื้นเมือง ซึ่งในไม่ช้าก็กลายเป็นตัวก่อกวนเมื่อมีการเติบโตอย่างหนาแน่นจนทำให้อ่างอุดตัน
เมื่อความสนใจและงานวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายเกลียวทองแพร่หลายมากขึ้น บริษัทโสสะเท็กซ์โคโคจึงได้รับรู้ว่าตนเองมีโชคใหญ่อยู่ในกำมือ นอกเหนือจากการผลิตปูนขาว ปัจจุบันนี้บริษัทยัง
เก็บเกี่ยวสาหร่ายเกลียวทองได้วันละหนึ่งถึงสองตันอีกด้วย ซึ่งประเทศญี่ปุ่นรับซื้อไว้เกือบทั้งหมดแต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ห่วงใยสุขภาพก็ได้กระตุ้นให้มีการส่งออกไปยัง
ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน

สาหร่ายเกลียวทองทีได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

ชมฟาร์ม และกรรมวิธีการผลิตสาหร่ายเกลียวทอง

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กรอบการพิจารณา แนวขุดคลองไทย (คอคอดกระ)

กรอบการพิจารณา แนวขุดคลองไทย (คอคอดกระ)



ความคิดในเรื่องของการขุดคลอง เพื่อเชื่อมสองฝั่งทะเลของไทย ระหว่างฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทย มีมานานกว่า 300 ปี โดยวัตถุประสงค์หลักของการขุดคลอง คือต้องการ ย่นระยะทาง ของการเดินเรือของทั้งสองฝั่งทะเล ด้วยกาลเวลาผ่านไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย ทำให้เหตุ และผล ของการพิจารณา แนวคลองต่างๆ ที่จะขุดมีความเหมาะสมกับสถานการต่างๆดังกล่าวก็จำ ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย จนกว่าจะได้มีการขุดไปแล้ว ข้อยุติในเรื่องนี้ก็จะหมดไป
เมื่อ 300ปี สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เหตุผลหลักที่สำคัณ คือต้องการขุดคลอง เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ต่อการเคลื่อนกองทัพเรือจากฝั่งอ่าวไทย ไปฝั่งทะเลอันดามัน เป็นการขยายความเข็มแข็ง ของราชอานาจักรในยุคสมัยนั้น และ เพื่อให้ การค้ากับต่างประเทศ ที่ได้เริ่มเปิดประเทศ ติดต่อกับชาติยุโรปที่จะมาทางฝั่งอันดามันไม่ต้องเสียเวลาเดินเรือ อ้อมไปผ่านที่ ช่องแคบมะละกา สามารถ ตัดตรง จากฝั่งอันดามัน มายังอ่าวไทยมุ่งไปกรุงศรีอยุธยาได้สะดวก และแนวคลองที่เห็นว่าเหมาะสม ในสมัยนั้น ก็ได้พิจารณาแนวคลองที่จะขุด ที่เราทราบกันมานานแล้ว คือแนวคอคอดกระ จังหวัด ระนอง เหตุที่เลือกแนวคลองนี้ก็เพราะเป็นส่วนที่แคบที่สุดของประเทศที่สามารถทำการขุดก่อสร้างได้ง่าย
เหตุ และผล เมื่อ 150 ปีต่อมา อาจจะมองเห็นว่าการขุดคลอง จะเป็นอันตรายต่อประเทศ ที่จะทำให้ประเทศ มหาอำนาจในยุโรปต่างๆในระยะนั้นบ้าอำนาจไร่ล่าขยายอาณานิคม เพื่อ ยึดครองหรือ แบ่งแยกประเทศ ต่างๆ ในย่านเอเชีย ที่อ่อนแอในยุคสมัยนั้น
พอมาถึงปัจจุบัน เหตุผล และ สถานการณ์ ต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ของประเทศมีความสำคัณที่สุด ยิ่งการแข่งขันที่รุนแร็งด้านเศรษฐกิจของสังคมโลกในยุคปัจจุบัน กลับกลายเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศบงบอก ชี้นำ ถึงความมั่นคงแทนทางทหารเสียอีก ทำให้ความคิดในการที่จะขุดคลองเพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐ กิจเป็นบทบาทที่ท้าทายของประเทศไทยต่อไป ความ คิดในการที่จะขุดคลอง ก็จะยังมีอยู่ตลอด เวลาจากอดีต จนถึงปัจจุบัน ความคิดในเส้นทาง แนวขุดคลอง ก็มีการนำ เสนอ ขึ้นมาใหม่ และปรับเปลี่ยนตลอดเวลา มาจนถีง ณ เวลานี้ มีอยู่ด้วยกัน 12 แนวคลองที่จะขุด (ภาพ ที่ 1) เพื่อให้กรอบแนวคิดที่จะกำหนดแนวขุดคลอง เกิดเป็นผลดีที่สุด ควรจะมีการพิจารณา องค์ ประ กอบ ที่สำคัญต่างๆที่ควรจะต้องนำมาพิจารณาร่วมกันมีดังนี้:-
ภาพที่ 1 แนวคลองที่จะขุดจากอดีต จนถึงปัจจุบัน มี 12 แนวคลองที่จะขุด
1. ทางด้านความอิสระในการบริหารคลอง ของประเทศ
2. ทางด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ
3. ทางด้านยุทธ์ศาสตร์ทางทหาร
4. ทางด้านสังคม และ สิ่งแวดล้อม
5. ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์

เปรียบเทียบความยาวแนวคลอง PROPOSED CANAL ROUTES

ROUTE BEGINNING POINT FINISHING POINT LENGTH
NO. WEST COAST EAST COAST (Kilometers)

1. RANONG CHUMPORN 130
2. A Little South of North of LUNGSUAN
RANONG CHUMPORN 90
2A BAN RACHAGROON LUNGSUAN
South of RANONG CHUMPORN 90
3. TAI MUANG PHUNPIN
PANG-NGA SURATHANEE 160
3C HUB POOK PHUNPIN
PANG -GNA SURATHANEE 168
3A/4 SIGAU North of PAKPANUNG
TRANG NAKCRN SRI THAMMRAT 156
5 SATOOL A Little North of
SONGKLA 108
5A 30 Km.North of North of
SATOOL SONGKLA 102
6 South of SATOOL JANA
IN MALAYASIA SONGKLA 102
7A A LittleSouthofGUNTANG PATTALUNG -
TRANG SONGKLA 110

9A SIGNG HOU SAI South of
TRANG NAKORN SRI THAMMARAT 120

Note : Length started in the table refers distance on land




1. ทางด้านความอิสระในการบริหารคลอง ของประเทศ ความอิสระในการบริหารคลอง ในที่นี้ก็คือ เมื่อมีเรือเดินทะเลจะมาใช้บริการผ่าน แนวคลองไทยที่จะขุดจะต้องผ่านน่านน้ำของ ประเทศ เพื่อนบ้าน จะมีโอกาสสร้างปัญหาในเรื่องของผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ต้องการให้ ประเทศไทย ไม่ต้องมีปัญปัญหา ทางด้านน่านน้ำสากลกับ ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทะเลฝั่งอันดามัน ที่มีทะเลร่วมติดต่อกับประเทศมาเลเซีย หรือประเทศพม่า และทาง ด้านทะเล อ่าวไทย ที่มีประเทศกัมพูชา และ ประเทศเวียตนาม ดังนั้นควร ให้แนวคลองที่เรือต่างๆที่จะมาใช้บริการ ควรจะต้องห่างน่านน้ำเพื่อนบ้าน ประมาณ 200 ไมล์ทะเล หรือ 400 กิโลเมตร
2. ทางด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ เส้นทางคมนาคมไม่ว่าจะเป็นทางบก หรือทางน้ำ ไปตัดผ่านที่ใหนก็จะนำความเจริณไปสู่ที่นั่น การเกิดธุระกิจชุมชนน้อยใหญ่จะตามมา หากเป็นเส้นทางที่อยู่ในเส้นทางของการขนส่งทางน้ำของโลกมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ผลประโยชน์มหาศาลจะตามมาเพราะฉนั้น สองฝั่งคลองจะต้องมีพื้นที่ ขนาดใหญ่รองรับพอที่จะมีเมืองขนาดใหญ่ที่ จะเกิดใน อนา คตได้ มีแหล่งน้ำจืดพอเพียง อยู่ในภูมิศาสตร์ที่ดีในการที่จะเป็นผังเมืองแห่งอนาคตได้
ภาพที่ 2 แนวคลองที่จะขุดต้องสอดคร้องกับทางด้านยุทธ์ศาสตร์ทางทหาร
3. ทางด้านยุทธ์ศาสตร์ทางทหารแนวคลองที่จะขุดหากแนวคลองขุดที่ตัดผ่าน ประชิดด้านใดด้านหนึ่งเกินไป จะทำให้การดำเนินงานใดๆในทางทหารมีข้อจำกัด โดยเฉพาะการจัดกำลังทัพของกองทัพบกทางภาค พื้นดินของประเทศ จำเป็นต้องมีพื้นที่ดำเนินการได้สะดวก จะต้องประสานสอดคล้องกับแนวคลองขุด ที่จะเป็นการเพิ่มศักย์ภาพให้กับกองทัพเรือ ดียิ่งขึ้น ในการเคลื่อน ย้ายกำลังกองทัพเรือทั้งสองฝั่งทะเลไทย
4. ทางด้านสังคม และ สิ่งแวดล้อมตามสองฝั่ง แนวคลองที่จะขุด จะต้องใช้พื้นที่มากประมาณ ความกว้างตลอด 4 กิโลเมตร (รวมสำรองพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต) ความยาว ของคลอง ประ มาณ 120 กิโลเมตร จะต้องมีผลกระทบต่อ แหล่งทำมาหากินของประชาชน
ภาพที่ 3 แนวคลองควรหลีกเลี่ยงชุมชนหนาแน่น และ แหล่งธรรมชาติที่สำคัณใว้
การโยกย้าย และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชาชนจากสังคมชนบท มาเป็นสังคมเมืองใหม่ที่จะมีประชาชนหลากหลายทั่วประเทศ จะมารวมเป็นสังคมเมืองใหญ่ ตลอดจน สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และทางวัฒนะธรรมต่างๆ จะมีการปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นแนวคลองที่จะขุดควรหลีกเลี่ยงความหนาแน่นของชุมชน และแหล่งธรรมชาติที่สำคัณไว้ให้มาก
5. ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ การพิจารณาแนวคลอง ที่จะขุด ต้องมีข้อ มูล ทางธรณีวิทยา ทางด้านอุทกศาสตร์ และ วิศกรรมทางทะเล (Marine Engineering) มีข้อมูลการเคลื่อนย้ายของชั้นดินทรายใต้ท้องทะเลว่าเป็นอยางไร มีแนวหินโสโครกเป็นอย่างไรหรือ ภูเขาที่อยู่ใต้ท้องทะเล อยู่บริเวรใดบ้าง เพื่อจะกำหนดแนวขุด ให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับความต้อง การของเรือขนาดใหญ่ ที่จะมาใช้บริการ เพื่อเตรียมในการวางแผนจัดการด้านระบบการจราจรการเดินเรือ สำรวจ แนวร่องน้ำที่อญู่ใต่ท้องทะเล จะต้องรองรับเรือขนาดใหญ่ มีความลึกมากพอที่จะให้เรือต่างๆ สามารถเดินเรือเข้าออกได้ปลอดภัย ทั้งในกรณีน้ำขึ้นหรือน้ำลง ทั้งฝั่งทะเล อันดามัน และฝั่งอ่าวไทยจาก 5 องค์ ประ กอบ ที่สำคัญ ดังกล่าว ยกเว้นองค์ประกอบทางด้านวิศวกรรมเท่านั้น ที่เรายังไม่มีข้อมูลที่มากพอที่จะสรุปได้ แต่สำหรับในองค์ประกอบอื่นๆ เราคงจะเริ่มมองภาพออกว่า
ภาพที่ 4 แนวคลองที่จะขุด 12 แนวลดเหลือ 4 แนวในการพิจารณาชัดเจนขึ้น
แนวคลองที่ควรจะขุดควรเป็น แนวใด จากแนวคลองทั้งหมด 12 แนวที่ได้มีการกล่าวถึง และเพื่อให้ชัดเจนในการพิจารณา เราลดเหลือ 4 แนวคลองจากทั้ง 4 แนวคลองที่คาดว่าจะขุด คงจะพิจารณาเปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสียระหว่างกันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเส้นทางคลองไทย (THAI-CANAL)
เส้นทาง 2A เส้นทาง 5A เส้นทาง 7A เส้นทาง 9A
เส้นทาง 2A คลองเริ่มจากบ้านราชกรูด – อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
ข้อดี
1. เป็นแนวคิดคลองเดิมเมื่อ 325 ปี มาแล้ว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. มีพื้นที่ติดคลองบนบกสั้นเพียง 90 กิโลเมตร
3. เป็นเส้นทางเดินเรือที่ใกล้กรุงเทพมากที่สุด (ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 600 กิโลเมตร)
ข้อเสีย
1. อยู่ใกล้ชายแดนพม่า (ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร จากชายแดน) อาจจะมีปัญหาด้านความมั่นคงและการเมืองในภาวะไม่ปกติ เนื่องจากปัญหากรรมสิทธิ์บางเกาะในทะเลระหว่างเขตแดนไทย – พม่า ยังไม่ชัดเจน
2. อยู่นอกเส้นทางเดินเรือสากล ต้องอ้อมแหลมญวนไกลเพิ่มขึ้น
3. พม่าสามารพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แข่งขันกับไทย โดยพม่าจะได้เปรียบเพราะค่าแรง งานต่ำ และการลงทุนในการพัฒนาอุตสาหกรรม เป็นแรงจูงใจให้ต่างชาติไปลงทุนในพม่าแทนการลงทุนในประเทศไทย
4. ปัญหาทางธรณีวิทยามีรอยเลื่อนของเปลือกโลก มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง อาจเป็นอัน ตรายต่อคลองในอนาคต
5. ระดับน้ำทั้ง 2 ฝั่ง ต่างกันประมาณ 2-3 เมตร อาจต้องทำประตูน้ำ
6. เส้นทางผ่านแนวภูเขาสูงชันและเป็นช่องเขาแคบ ทำให้ไม่เหมาะในการพัฒนาท่าเรือ พื้นที่อุตสาหกรรมต่อเนื่องและเขตเศรษฐกิจพิเศษมีที่กว้างพอ
7. การขุดคลองผ่านพื้นที่ภูเขาสูงชันมีหินแกรนิตเป็นระยะทางยาวกว่า 60 กิโลเมตร ทำให้คลองสั้นแต่ราคาค่าขุดคลองจะสูง
8. การขุดคลองมิได้หวังเพียงให้เรือเดินทางเข้าท่าเรือกรุงเทพฯ แต่ต้องการให้เป็นน่านน้ำสา กลจากตะวันออกกลาง สู่อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ยิ่งขึ้นสูงทำให้เส้นทางเดินเรือต้องอ้อมแหลมญวน ไม่ทำให้ประหยัดระยะทางหรือเป็นคลองลัดจริง
เส้นทาง 5A เส้นทางจากจังหวัดสตูล – จังหวัดสงขลา
ข้อดี
1. ปริมาณดินที่ขุดน้อยที่สุด ทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนเฉพาะการขุดคลองต่ำที่สุด
2. ระดับน้ำทิ้ง 2 ฝั่ง ต่างกันประมาณ 0.5 เมตร
3. ไม่ต้องตัดผ่านภูเขา เนื่องจากแนวคลองจะอยู่ในช่องเขา
4. อยู่ในแนวเส้นทางการเดินเรือสากล
ข้อเสีย
1. อยู่ใกล้ชายแดนมาเลเซีย ทำให้มาเลเซียสามารถพัฒนาอุตสาหกรรม โดยไม่ต้องลงทุนขุดคลอง และมาเลเซียจะได้ประโยชน์มากกว่าประเทศไทย เพราะแนวคลองอยู่ใกล้เมื่องอลอสตาร์ และท่าเรือกลาง ของประเทศมาเลเซีย (Port Kelang)
2. ปัจจุบันมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก อาจจะมีปัญหาในเรื่องค่าขนย้ายและค่ารื้อย้ายมาก
3. แนวคลองพาดผ่านทะเลสาปสงขลา (ทะเลสาปสงขลาตอนล่าง) อาจจะเกิดกระแสการต่อต้านสูง ดังเช่นในกรณีเดียวกับการวางท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย
4. จากการสำรวจข้อมูลด้านธรณีวิทยา พบโพรงหินขนาดใหญ่ประมาณ 11 แห่ง บริเวณจังหวัดสตูล
5. ทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณพื้นที่ ใต้แนวคลองเป็นเขต ประชากรไทยมุสลิมหนาแน่นมาก กว่า ร้อยละ80หากมีการแทรกแซงจากภายนอกอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านการแบ่งแยกดินแดนและด้านความมั่นคงในอนาคตได้
6. แนวคลองอยู่ใกล้ช่องแคบมะละกา ทำให้ไม่ได้ร่นระยะทางการเดินเรือ
7. ไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
เส้นทาง 7A เส้นทางจาก จังหวัดตรัง - สงขลา
ข้อดี
1. ระยะทางสั้นขุด ผ่านแผ่นดินประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้ร่องน้ำจากกันตังถึงตรัง 30กิโลเมตร ที่อำ เภอ ย่านตาขาว แล้วขุดทะเลสาบสงขลาในส่วนทะเลหลวงที่พัทลุง -สงขลาประมาณ 20 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งหมดประมาณ 110 กิโลเมตร
2. ขุดผ่านภูเขาประมาณ 9 กิโลเมตร จะได้ใช้หินเพื่อก่อสร้าง
3. ผ่านสงขลาบนบกเพียง 5 กิโลเมตร ก็ทะลุออกอ่าวไทยมีท่าเรือน้ำลึกที่สงขลาอยู่แล้ว
4. ใช้ทะเลสาปสงขลาเป็นท่าเรือหลบมรสุมได้
ข้อเสีย
1. เส้นทางทับลำน้ำธรรมชาติเดิมจากกันตังถึงย่านตาขาวมีผลกระทบกับประชาชนริมน้ำ เป็นระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร
2. คณะสมาชิกวุฒิสภา และ สมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดสงขลา และ ชมรมอนุรักษ์ทะเลสาปสงขลาหลายชมรมและ ประชาชนสงขลาคัดค้านที่จะให้คลองผ่านทะเลสาปสงขลา
3. พื้นที่จังหวัดสงขลาซึ่งมีประชาชนอาศัยหนาแน่น ที่ดินราคาแพง ทำให้มีผลกระทบด้านสังคมมากเพราtประชากรมุสลิมหนาแน่นกว่าแนวคลอง 9A
4. ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นและแหล่งท่องเที่ยว สำคัญของประเทศตลอดเส้นทางที่คลองตัดผ่าน
5. ใกล้กับชายแดนไทย - มาเลเซีย มากกว่าเส้นทาง 9A
6. ภูเขาที่ตัดผ่านบริเวณจังหวัดตรังเป็นพืดเขาสูงชันมาก สูงถึง 1,200 เมตร ระยะทาง 9 -10 กิโลเมตร มีอยู่ช่องเดียวคือช่องเขาพับผ้าซึ่งแคบเกินไปที่จะขุดคลอง
7. ไม่มีพื้นที่กว้างพอสำหรับการพัฒนาท่าเรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
เส้นทาง 9A เส้นทางจากจังหวัดกระบี่ - ตรัง - พัทลุง - นครศรีธรรมราช
ข้อดี
1. ตำแหน่งที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ อยู่ระหว่างกลางประเทศพม่าปลายแหลมมลายู และประเทศสิงค์โปร์ ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง ( ห่างจากชายแดนพม่าประมาณ 700 กิโลเมตร และห่างจากประเทศสิงคโปร์ ประมาณ 700 กิโลเมตร
2. ทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณคลองเป็นชาวไทยพุทธร้อยละ 95 และรวมพื้นที่ใต้แนวคลองทั้งหมดประชากรส่วนใหญ่เป็นไทยพุทธหากมีการแทรกแซงจากภายนอกที่จะก่อให้เกิดปัญหาการแบ่งแยกดินแดนจะทำได้ยาก
3. อยู่ในเส้นทางการเดินเรือสากลและสามารถพัฒนาท่าเรือหลบมรสุมได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล
4. ระบบโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อม อาทิเช่น โรงงานปูนซิเมนต์ทุ่งสง กำลังผลิต 8 ล้านตัน/ปี และศูนย์ กลางการคมนาคมทางบก มีทางหลัก 4 สาย รถไฟ 2 สาย และทางอากาศมีสนามบินใกล้ถึง 3 สนามบิน
5. มีแหล่งน้ำจืดที่ใช้ในกิจการของคลองและสนับสนุนอุตสาหกรรมเพียงพอโดยกรมชลประทานเป็นผู้วางแผน สนับสนุนเรื่องน้ำอย่างเต็มที่
6. มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่สำหรับเมืองใหม่ เขตเศรษฐกิจพิเศษและที่จะสามารถพัฒนาได้กว้างใหญ่ถึง 3 ที่ คือที่ปากคลองทั้งสองฝั่งทะเลและบริเวณกลางคลอง
7. มีความหนาแน่นของประชากรน้อย ทำให้ลดค่าขนย้าย และค่ารื้อย้าย
8. ระดับน้ำทั้ง 2 ฝั่งทะเลต่างกันประมาณ 0.5 เมตร
9. ประชาชนในแนวคลอง ทั้ง 23 อ.บ.ต สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคลองเองตลอดแนวคลอง 9A ได้มีการประชุมกัน 15 ครั้ง
ข้อเสีย
1. แนว 9A ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร แนวที่2 ยาว 92 กิโลเมตร แนวที่ 5A ยาว 102 กิโลเมตร และแนวที่ 7A ยาว 105 กิโลเมตร
2. มีเส้นทางพาดผ่านพื้นที่เนินเขาประมาณ 10 กิโลเมตร บริเวณเทือกเขานครศรีธรรมราช
3. แนวคลองพาดผ่านพื้นที่บางส่วนเลี้ยวของพรุควนเคร็ง ถ้าไม่มีการจัดการที่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมได้
4. ไม่สามารถสร้างท่าเรือริมทะเลได้ต้องพัฒนาพรุควนเคร็งบางส่วนเป็นท่าเรือเคร็ง (Port of Kreng) เพื่อหลบมารสุมด้านอ่าวไทย


-------------------------------------------------
http://www.thai-canal.org/

อีก4 ปี คนไทยได้ใช้ไบโอดีเซลจากสาหร่าย



กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จับมือกับ บริษัท ปตท. ประกาศว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเซีย ที่วิจัยสกัดน้ำมันไบโอดีเซลจากสาหร่ายได้ โดยคาดว่างานวิจัยนี้จะต่อยอดใน เชิงพาณิชย์ ได้ใช้จริงในอีก 4 ปีข้างหน้า ติดตามรายงานได้จากคุณพรทิพย์ โม่งใหญ่

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คนไทยที่ นิตยสารระดับโลกอย่างไทม์ ยกย่องให้เป็น1ใน10 นักธุรกิจรุ่นใหม่ของโลก




เขาเป็นหนึ่งในคนไทย ที่นิตยสารระดับโลกอย่างไทม์  ยกย่องให้เป็น1ใน10 นักธุรกิจรุ่นใหม่ของโลกที่สามารถใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์.......

ด้วยความคลุกคลีกับอุตสาหกรรมขยะรีไซเคิลมานานทำให้  ไพจิตร  แสงชัย  คือผู้ริเริ่มคิดค้นเอมไซม์ย่อยกระดาษเทคโนโลยีใหม่ที่คนไทยและต่างประเทศยอมรับ ล่าสุดได้รับคัดเลือกจาก World Economic Forum ให้เป็นหนึ่งในนักบุกเบิกเทคโนโลยี ประจำปี2011 ในสาขาเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม จากนวัตกรรม  “เอมไซม์สูตรพิเศษสำหรับรีไวเคิลเศษกระดาษลามิเนต”

เขายังทำหน้าที่ซีอีโอของบริษัทเฟล็กโซรีเสริร์ช กรุ๊ปจำกัด  เขาคือผู้ประกอบการรุ่นแรกๆ ที่ตัดสินใจเข้ามาบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

ไปติดตามเรื่องราวของเขาได้ในรายการ Voice of the day  ตอนนี้ทันที

Produced by VoiceTV